วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โยคะและการรักษาโรค


หลายคำถามเกี่ยวกับโยคะ คำถามหนึ่งที่มักมีคนถามบ่อย และน่าสนใจ คือ "ทำไมการทำท่าในการฝึกโยคะต่างๆ สามารถรักษาโรคได้"
การฝึกโยคะแพร่หลายและเป็นที่นิยมในเมืองไทยเมื่อไม่นานมานี้้ ส่วนหนึ่งมาจากสถานออกกำลังกายและการบอกเล่าผ่านสื่อต่างๆ ส่วนความนิยมในการฝึกอีกอย่างหนึ่งเพราะมีหลายคนได้ข้อมูลมาว่า โยคะสามารถรักษาโรคต่างๆได้
ความน่าสนใจของเรื่องนี้อยู่ที่ โรคต่างๆที่เราได้ยินมาว่าสามารถรักษาได้ด้วยการฝึกโยคะนั้น สามารถรักษาได้จริงหรือไม่ และมีหลักฐานหรือข้อมูลอะไรมาอ้างอิง
เท่าที่เราค้นคว้าหาข้อมูล และจากประสบการณ์ พอยกมาอ้างอิงและอธิบายได้บ้าง แม้จะไม่มากนัก ลองอ่านดูนะครับ
โยคีในสมัยก่อนได้อธิบายถึงการรักษาโรคของโยคะว่าเป็นการเปิด "ตาที่สาม"คือเมื่อเราเปิดตาที่สาม จิตจะสงบ และอาการไม่สบายร่างกายทั้งหลายก็จะสงบลงไปด้วย และโยคียังได้ค้นพบว่าการฝึกปราณ เมื่อวงโคจรของปราณไม่ติดขัด เราก้จะรู้สึกสบาย และการควบคุมปราณยังรักษาโรคบางโรคได้ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคเครียด
แต่ยุคสมัยปัจจุบัน เรามีวิถีชีวิตที่ต้องทำงาน เรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่ค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์และมีความเป้นเหตุเป็นผล สิ่งเหล่านี้วิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงทำการค้นคว้าทดลองเรื่องราวเกี่ยวกับโยคะและพยายามอธิบายใหม่ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย
ความรู้ของมนุษย์ในปัจจุบันมีมากขึ้น เราจึงพยายามอธิบายเรื่องราวของ "ตาที่สาม" ที่โยคีในอดีตเคยกล่าวถึง ว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับฮอร์โมนในร่างกายอย่างไร และเรื่องของปราณที่โยคีพูดถึงว่าเป็นพลังงานจักรวาล คืออะไร นักวิทยาศาสตร์ยังพยายามอธิบายอาสนะ ในแง่มุมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ซึ่งคล้ายกับโยคะเป็นการบริหารร่างกายอย่างหนึ่ง และการฝึกโยคะมีผลดีกว่าการออกกำลังกายด้วยการออกแรงมากๆเช่นการเล่นกีฬา ช่วยในการไหลเวียนของเลือด การฟอกอากาศของปอดดีขึ้น โยคะจึงเป็นการส่งเสริมสุขภาพเกือบจะรอบด้าน
ทฤษฎีเรื่องตาที่สาม
โยคีในอดีตมีความรู้เรื่องต่อมไร้ท่อต่างๆในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์ ต่อมพิทูอิทารีย์ หรือที่เราเรียกว่า"ต่อมใต้สมอง" รวมถึงต่อมไพเนียล ที่อยู่เหนือสมอง
ต่อมเหล่านี้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมการทำงานของร่างกาย โยคีมีชื่อเรียกความรู้เหล่านี้แตกต่างจากนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่เรียกกัน เช่น เรียกต่อมพิทูอิทารีย์ว่า "แสงจันทร์ทิพย์" และรู้ว่าหน้าที่ของต่อมนี้เกี่ยวกับการขับนำ้และควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนต่อมไพเนียล โยคีเรียกว่า"เนตรศิวะ"
เนตรศิวะ เป็นสิ่งที่โยคีให้ความสำคัญมาก ในด้านของสุขภาพ แต่หากเราลองมองในอีกแง่มุมหนึ่ง จะพบว่า นักวิทยาศาสตร์รู้จักและเข้าใจการทำงานของต่อมไพเนียลน้อยที่สุดในบรรดาต่อมไร้ท่อในร่างกายของคนเรา
นักวิทยาศาสตร์ในอดีตเคยบอกว่าต่อมไพเนียลไม่มีหน้าที่อะไร แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาการทำงานของต่อมไพเนียลอย่างจริงจัง และพบว่า เรามีสามตาจริงๆ (ตามหลักการ) ตาที่สามของเราไม่ได้อยู่ตรงหน้าผาก แต่อยู่ในกระโหลกศรีษะ เรียกชื่อว่าต่อมเหนือสมอง หรือต่อมไพเนียล
ในสัตว์ชั้นตำ่อย่างซาลามานเดอร์มีสามตา ตาที่สามอยู่กลางศรีษะ หน้าที่ของสองตาด้านหน้าคือเอาไว้รับภาพ แต่ตาที่สามมีหน้าที่รับแสงสว่างโดยเฉพาะ ซาลามานเดอร์เป็นสัตว์ชั้นตำ่ ต้องอาศัยตาที่สามเตือนว่ามีแสงสว่างและออกหากิน เวลากลางคืนมาถึง ตาที่สามจะบอกว่ามืดแล้ว ถึงเวลานอน
ตาที่สาม(ต่อมไพเนียล)ของคนมีหน้าที่คล้ายกัน ต่อมไพเนียลจะมีความไวต่อแสง ดังนั้นแสงสว่างกับความมืดจะมีอิทธิพลต่อการทำงานของต่อมไพเนียล คือ แสงสว่างจะกระตุ้นให้ต่อมไพเนียลสั่งงานลงไปยังต่อมพิทุอิทารีย์ให้หลั่งฮอร์โมนเพศบางตัวเพิ่มขึ้นและกดการหลั่งของฮอร์โมนบางตัว
วิทยาศาสตร์ปัจจุบันพบว่า ต่อมไพเนียลสร้างฮอร์โมนสองชนิดคือ ซีราโตนิน และเมลาโตนิน ฮอร์โมนทั้งสองมีผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อในร่างกายหลายชนิด ซึ่งรวมไปถึง
"การมีผลต่อความสงบของจิตใจ" ซึ่งการฝึกโยคะ จะฝึกควบคุมการทำงานของตาที่สามหรือต่อมไพเนียลนี้ วิธีฝึกสมาธิเพื่อควบคุมการทำงานของต่อมนี้ มีอาสนะเช่น ท่ากระต่าย(ก้มศรีษะลงติดพื้น) ด้วยหวังผลว่า ท่านี้คือการนวดต่อมไพเนียลในศรีษะ และเชื่อว่าอาสนะนี้จะทำให้การสร้างฮอร์โมนเมลาโตนินเพิ่มมากขึ้น ลดการหลั่งฮอร์โมนซีราโตนินลง
ฮอร์โมนในร่างกายและโยคะ
   การทำงานของร่างกายส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการควบคุมของฮอร์โมน ความสบายใจก็ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของฮอร์โมน สังเกตได้จากเวลาผู้หญิงจะมีประจำเดือน ระดับออร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในเวลานั้นมีผลทำให้ผู้หญิงหลายคนหงุดหงิด เจ้าอารมณ์ ซึ่งโยคะมีวิธีควบคุมการทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ท่ายืนด้วยไหล่ โดยใช้ไหล่รับนำ้หนักตัวและใช้ขาชี้ขึ้นข้างบน ท่านี้ควรทำสัก 1-2 นาที แล้วจึงพัก การเอาศรีษะลงในระดับตำ่ และเอาขาขึ้นที่สูง เป็นการปรับการไหลเวียนของเลือดใหม่ ท่านี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงศรีษะมากขึ้น ต่อมพิทูอิทารีย์ได้รับเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น และมีความสมบูรณ์ในการสั่งงานระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆได้ดีมากขึ้น
  อีกตัวอย่างหนึ่งคือการควบคุมการทำงานของต่อมหมวกไต โดยเฉพาะเวลาที่เราโกรธ อารมณ์ฉุนเฉียว ฮอร์โมนอะดรีนาลิน จากต่อมหมวกไต จะหลั่งออกมาและทำให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว หายใจเร็ว และกล้ามเนื้อเกร็งทั้งตัว อาการลักษณะนี้แสดงว่า เรากำลังเสียสมดุล ควบคุมประสาทสัมผัสและตัวเองไม่ได้ แนะนำให้เราใช้การหายใจเข้าปรับให้ฮอร์โมนในร่างกายกลับเข้าสภาวะสมดุล โดยการหายใจด้วยท้อง แขม่วท้องหายใจออกให้เต็มที่จนท้องแฟบ แล้วค่อยๆหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ จนท้องป่อง และหายใจออกช้าๆ โดยพยายามให้การหายใจออกยาวกว่าการหายใจเข้า และเมื่อเราทำแบบนี้ในช่วงเวลาไม่นานนัก จะรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลง และลดอารมณ์ร้อนได้ เป็นการกดฮอร์โมนอะดรีนาลินให้ลดลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น